ยูนิเวอร์แซล เดินหน้าระดมทุน เข้าตลาดเอ็มเอไอ ต.ค.นี้

<< กลับ09 กันยายน 2553

นายกิตติ ชีวะเกตุ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์แบ้นท์ แอนด์ เคมิคอลส์ (UAC) กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็น 20% ของทุนจดทะเบียนแล้ว โดยมีบริษัท แอดไวเซอรี่พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.กิมเอ็ง (แห่งประเทศไทย) (KEST) เป็นแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายในครั้งนี้ และพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ประมาณเดือนตุลาคมนี้

ทั้งนี้บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ได้ชำระแล้ว 120 ล้านบาท ซึ่เงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ และหรือลงทุนเพิ่มในบริษัทร่วม คือ บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) รวมถึงการลงทุนในโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัดแรงสูง

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-30% โดยการเติบโตส่วนใหญ่เป็นไปตามอุตสาหกรรมโดยรวมที่มีการเติบโต โดยพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรประมาณ 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 17 ล้านบาท เพราะรับรู้ผลกำไรจากการดำเนินงานกับบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) ที่ได้เริ่มการผลิตทั้งแต่ธันวาคม 2552 และบริษัทฯได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BBF จำนวน 21 ล้านบาท ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 404.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 293.53 ล้านบาท"

โดยปัจจุบัน บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์แบ้นท์ แอนด์ เคมิคอลส์เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน โรงปิโตรเคมี โรงงานผลิตน้ำมันหล่อลื่น โรงงานอุตสาหกรรมโพลิเมอร์และพลาสติก โรงงานอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ โรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภค

ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานกรรมการบริหาร บล.กิมเอ็ง (แห่งประเทศไทย)  (KEST) แกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย (Lead underwriter) ในครั้งนี้ กล่าวว่า ภาวะตลาดในช่วงนี้ยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้น โดย มองว่าตั้งแต่เดือน ต.ค.ไปจนถึงปลายปี เป็นจังหวะที่ดีที่บริษัทจะเข้ามาระดมทุน เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในทวีปเอเชียที่มีความแข็งแกร่ง และมีความน่าลงทุนกว่าทวีปยุโรป ทำให้ตาดหุ้นในประเทศไทยได้รับความสนใจไปด้วย อีกทั้งมีการคาดการ์ณถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้อยู่ที่7-8%

สำหรับเรื่องค่าเงินบาท มีความเป็นไปได้ที่จะแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ทั้งค่าเงินหยวนและค่าเงินบาท ทำให้เป็นปัจจัยหนุนทำให้นักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนทั้งค่าเงินและการลงทุนในตลาดหุ้นเข้ามามากขึ้น ขณะที่มองว่า นักลงทุนเข้าใจจังหวะการลงทุนในตลาดหุ้นได้ดีขึ้น  แม้จะมีข่าวที่ไม่ดีเข้ามา แต่ก็มองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

 นายมนตรี กล่าวอีกว่า ความกังวลที่ตลาดปรับเพิ่มขึ้นมานั้น เกรงว่าจะมีลูกโป่งอยู่ในนั้นหรือไม่นั้น มองว่า เมื่อปี 48-49 ดัชนีเคยขึ้นไปอยู่ที่1,000 จุด ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,700 จุด  โดยมียอดมาร์จิ้น 120,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้มีอยู่เพียง 30,000 ล้านบาท ขณะที่ มาเก็ตแคปตอนนั้นอยู่ที่ 3.5 ล้านล้าน แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 7ล้านล้านบาท  จึงไม่มีอะไรต้องกังวล

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
9 กันยายน 2553